เรื่องของเจ้ามดกับเจ้าหมิว
ท่านต้องเอาเจ้ามดกับเจ้าหมิวขังเข้าคอก เพราะมิฉะนั้นมันจะวิ่งตามตลอดทาง หลวงพ่อฟื้นความหลังให้ฟังว่า หมูป่าก็ยังเป็นหมูป่าแม้ท่านจะไม่ให้อาหารเนื้อแต่พอเดือน ๑๐ น้ำมากเจ้ามดกับเจ้าหมิวก็ช่วยกันต้อนฝูงลูกอ๊อดเข้า เขตน้ำตื้นชายตลิ่งแล้วดูดกินจนอิ่ม
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าลูกหมูป่าตัวหนึ่งก็ไปกินเนื้อหอยสดกลับมาป่วยซึม เณรจึงไปซื้อยาหมูจากตลาดมาให้กิน ผลคือลูกหมูป่าที่ป่วยได้ตายไปเพราะฤทธิ์ยา อีกตัวที่เหลือเมื่อขาดเพื่อนจึงติดคนมากขึ้นโดยเฉพาะหลวงพ่อ ไม่นานหลังจากลูกหมูตัวแรกตายไปตำนานลูกหมูป่าก็จบลง ในวันที่หลวงพ่อรับนิมนต์ไปสวดมนต์ฉันเพลที่บ้านท่ามะไฟหวาน ไกลไปจากวัดป่าราว ๒ กิโลเมตร ท่านสั่งเณรให้ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าลูกหมูไม่ให้วิ่งตามท่าน ปรากฏว่าเณรปฏิบัติอยู่ไม่นานนักก็ลืมคำสั่งของหลวงพ่อ ลูกหมูป่าขาดเพื่อนจึงวิ่งตามกลิ่นหลวงพ่อไปตามถนนอย่างเร่งรีบ ด้วยความเคยอยู่ใกล้มนุษย์ ลูกหมูป่าจึงวิ่งฝ่าเข้าไปกลางกลุ่มสาว วัยรุ่นที่กำลังหาบลูกเดือยผ่านมาอย่างหน้าตาเฉย หญิงสาวกลุ่นนั้นเมื่อเห็นหมูเถื่อนตัวขนาดเหมาะมือเข้ามาหาดังนั้น จึงหยุดแล้วถอดไม้คานออกมารุมฟาดลูกหมูที่น่าสงสารเมื่อถูกคนหนึ่งตี แทนที่จะวิ่งหนีกลับวิ่งไปหาอีกคนหนึ่งหวังจะให้ช่วยปกป้อง กลับยิ่งถูกตีซ้ำและแล้วลูกหมูก็วิ่งวนเข้าหาไม้คานครั้งแล้วครั้งเล่าจนบอบช้ำตาย
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้หลวงพ่อเริ่มเห็นว่า ความใกล้ชิดระหว่างท่านกับสัตว์ป่าจะเป็นสาเหตุให้สัตว์ลดละสัญชาตญาณเดิมอันเคยระแวงมนุษย์ไป อันตรายจะเกิดกับสัตว์เหล่านี้เอง เมตตาธรรมจะเป็นพิษในโลกสมัยใหม่แล้วกระมัง เพราะหลวงพ่อเองคงตามปกป้องสัตว์ป่าทุกตัวได้ไม่ตลอดแน่ ยิ่งระยะหลังเริ่มมีการรุกรานสัตว์ป่าจากคนใจบาปปรากฏมากขึ้น ท่านจึงต้องฝืนใจเอาก้อนดินขว้างไล่เก้งกวางที่ชอบเดินตามท่านให้ตกใจเตลิดหนี เพื่อคืนสัญชาติญาณดั้งเดิมของสัตว์ป่าเหล่านั้น
การแอบมายิงสัตว์ในเขตวัดมีหลายครั้งหลายหน ครั้งแรกสุดเท่าที่หลวงพ่อจำได้ก็ครูโรงเรียนใกล้ๆวัดมากับตำรวจมาไล่เนื้อที่วัด ท่านต้องออกไปห้าม จึงมีการตกลงชดใช้กันเป็นสังกะสี เขาบอกว่าไม่รู้ว่าเป็นเขตวัดทั้งๆที่ท่านทำป้ายบอกรอบวัด แต่ก็มักมีมือดีไปทุบทำลายเสมอๆ หลวงพ่อเล่าว่าจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีสังกะสีจากพรานในเครื่องแบบมาชดใช้คืนให้วัดซักแผ่น มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงพ่อต้องเผชิญหน้ากับนักเลงคนหนึ่งที่ไม่ยอมสนใจเขตวัด แอบมายิงเนื้ออยู่บ่อยครั้ง จนครั้งหนึ่งท่านได้ยิน เสียงปืนห่างไปไม่ไกลจึงวิ่งตามไปจับทั้งๆ ที่ท่านไม่มีอาวุธอะไร ผลคือนักเลงทิ้งเนื้อวิ่งหนี หลวงพ่อตามไปข้างหน้าแอบดักที่ทางผ่าน ครู่หนึ่งนักเลงคนนี้ผ่านมาพอดี โดยที่มองไม่เห็นหลวงพ่อซึ่งยืนบังเงาไม้อยู่ริมทาง นักเลงเอาปืนยิงไปที่หลังคาศาลาวัดเป็นการสำแดงอิทธิฤทธิ์แห่งตน หลวงพ่อปรากฏตัวให้เห็นทันทีที่สิ้นเสียงปืน นักเลงซึ่งมีอาวุธอยู่ในมือกลับเป็นฝ่ายวิ่งหนีเป็นครั้งที่สอง คราวนี้หลวงพ่อไปรอที่บ้านเพื่อเจรจาให้รู้เรื่อง ผลคือนักเลงคนนี้หนีลงเขาไปอยู่บ้านเดิมไม่ขึ้นบนหลังเขาอีกเลยเป็นเวลาหลายปี