ภัยพิบัติจากน้ำมือมนุษย์

พ้นไปจากอาณาเขตของวัด ต้นไม้แทบจะไม่มีเหลือติดพื้น นโยบายเร่งรัดผลผลิตทางการเกษตรเพื่อการส่งออกของรัฐบาลกลาง เป็นเหตุให้ชาวนาจากที่รายข้างล่างอพยพขึ้นมาเปลี่ยนอาชีพเป็นชาวไร่ และเพราะปลูกพืชทั้งหมดเพื่อขาย โดยที่ปัจจัย ๔ ที่ใช้ยังชีพทั้งหมดต้องซื้อด้วยเงิน เมื่อความจำเป็นในการใช้เงินของชาวบ้านมีแต่จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินมีแต่จะจืดลง ผลผลิตต่อเนื้อที่จึงลดลง

ซ้ำร้ายราคาของพืชเศรษฐกิจทุกชนิดที่รัฐบาลส่งเสริมให้ปลูก ได้เรียงแถวราคาตกต่ำลงทุกปีๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด หรือมันสำปะหลังทางออกของชาวไร่ก็คือต้องขยายพื้นที่ในการเพราะปลูก เพื่อให้สมดุลกับรายจ่ายที่ต้องซื้อหาปัจจัยยังชีพ จนในที่สุดป่าบนหลังเขาก็เหลือน้อยเต็มที

นอกจากวัดป่าสุคะโตแล้ว ก็ยังเหลือภูหลงที่ชาวบ้านบริจาคป่ายกให้หลวงพ่อบุญธรรมอีกแห่งหนึ่ง แต่ว่าโดยสัดส่วนแล้ว ป่าที่เหลือเป็นเพียงรอยแต้มสีน้อยๆ บนผืนดินเปลือยเปล่าของหลังเขานับแสนไร่ และป่าที่เหลือนี้น้อยเกินกว่าที่จะก่อผลให้เกิดสมดุลทางนิเวศวิทยาเหมือนครั้งก่อนได้อีกแล้ว

และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์นับพันปีของที่ราบสูงแห่งนี้ก็เกิดขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เมื่อเกิดฝนตกรุนแรงติดต่อกันระยะหนึ่ง น้ำที่ไม่มีป่าไม้คอยดูดซับไว้ก็ไหลบ่าทะลักลงมารวมกันอย่างรวดเร็ว และฝายน้ำล้นแห่งหนึ่งซึ่งก่อสร้างจากโครงการเงินผันสมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ก็พังลง หลวงพ่อเล่าว่า ก่อนหน้าที่ฝายเงินผันแห่งนี้จะพังลงคืนนึ่ง มีคนมารายงานท่านว่า รอยทางคนเดินซึ่งเชื่อมต่อระหว่างผืนดินกับตัวฝาย ซึ่งเดิมต่อกันเป็นแนวเดียวได้เริ่มเบี่ยงเบนขยับออกจากแนวเดิมไม่ต่อกันเสียแล้ว วันรุ่งขึ้นฝายก็ขยับถอนยวงหลุดไปจากผืนดินรูดออกไปทั้งก้อน หลวงพ่อต้องเอาเครื่องขยายเสียงออกมาประกาศเรียกระดมแรงงานชาวบ้านมาช่วย ๓ พ่อลูก ที่ติดอยู่กลางเกาะในลำปะทาว “อยู่บนหลังเขาไม่มีเจ้านายมาช่วยดอกต้องตะเกียกตะกายเอาเอง” แม้ว่าจะช่วยชีวิต ๓ พ่อลูกที่ติดอยู่บนเกาะกลางขึ้นมาได้สำเร็จ แต่มีครอบครัวหนึ่งต้องจบชีวิตพร้อมกัน ๓ คน เพราะไปสร้างบ้านขวางทางน้ำจากฝายที่พังลงมา หลวงพ่อเล่าว่าที่จริงไม่น่าพังเลย บ้านเสาตั้ง ๙ ต้น ยกพื้นสูงพ้นน้ำ ห่างจากฝายตั้ง ๒ กิโลเมตร แต่โชคร้ายที่ไปต่อใต้ถุนเป็นยุ้งใส่ข้าวโพดเสียเต็ม ขวางทางน้ำเลยไม่มีเหลือ เสาบ้านหักไปทันที ๘ ต้น ถอนรากไปอีกต้นหนึ่ง หลวงพ่อเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าแทบไม่น่าเชื่อ สีขาวของพื้นน้ำกับสีขาวของท้องฟ้าที่อิ่มน้ำต่อกันเป็นผืนเดียวกัน ทั้งๆที่อยู่ที่ราบบนยอดของเทือกเขาสูง

พิบัติภัยครั้งนี้ ไม่ใช้เหตุการณ์บังเอิญทางธรรมชาติเสียแล้ว แต่เป็นการปรับสมดุลใหม่ของธรรมชาติภายใต้ระบบนิเวศวิทยาที่แปรเปลี่ยนไป หลวงพ่อได้อธิบายปรากฏการณ์ใหม่ของฝนฟ้าบนภูโค้งว่า ฝนที่เคยตกเฉลี่ยกันตลอดปี เพราะมีป่าไม้คอยดูดซับเมฆฝนให้ลอยตัวลงต่ำแล้วกลั่นตัว เมื่อป่าหมดไปผืนดินจึงรับแดดจนร้อนระอุ พอไม่มีความเย็นเบื่องล่างเมฆก็ลอยตัวสูงขึ้น เมื่อท้องฟ้าเก็บเมฆไว้มากๆวันดีคืนดีเก็บไม่อยู่ก็เทพรวดลงมาที่เดียวหมดฟ้า เท่าๆกับปริมาณฝนที่เคยตกเฉลี่ยในระยะหนึ่งเดือนหรือหนึ่งปี ตกกระหน่ำลงมาทีเดียวในเวลาข้ามวันนี้เป็นความสมดุลใหม่ที่มนุษย์เลือกอย่างไม่เท่าทัน

ชีวิตของชาวบ้านบนหลังเขาจะต้องเดือดร้อนยิ่งๆขึ้นทุกปี ในเมื่อไม่มีความอุดมสมบูรณ์ของป่าอย่างเช่นในอดีตแล้วไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยที่เกิดจากใบไม้ร่วงทับถมกัน ซึ่งก็คือขบวนการทางธรรมชาติ ที่ช่วยย่อยและดึงแร่ธาตุจากดินลึกผ่านรากสู่ใบและร่วงสู่ดิน ย่อยสลายกลายเป็นความอุดมสมบูรณ์ของชั้นหน้าดิน ไม่มีป่าไม้อันเป็นปัจจัยช่วยโยงใยและสร้างสมดุลระหว่างน้ำใต้ดินน้ำบนผิวดิน ตลอดจนได้น้ำในระดับเมฆฝน และนี้คือสาเหตุแห่งความแห้งแล้งอันร้อนระอุและยาวนาน และน้ำป่าอันรุนแรงแห่งฤดูฝน หน้าดินเริ่มสึกกร่อนเพราะไม่มีต้นไม้ให้ยึดเกาะ และคอยปกป้องจากลมฝนและพายุ ซ้ำร้ายเกษตรกรรมอันไร้สติตามนโยบายเร่งรัดการส่งออกของรัฐบาลยังคงคืบหน้า ดูดซับความอุดมสมบูรณ์สุดท้ายของป่าที่เหลือน้อยอยู่แล้วให้เหือดแห้งเข้าไปอีก ปีแล้วปีเล่า ดูเหมือนสภาพทะเลทรายของป่าหลังเขาจะปรากฎภาพให้เห็นชัดยิ่งขึ้นทุกปี รัฐเองก็มีความพยายามแก้ไขปัญหาอยู่บ้างเหมือนกัน จะเห็นได้จากการที่กรมป่าไม้ขึ้นไปจัดตั้งหมู่บ้านสวนป่า แต่ดูเหมือนความคิดอ่านในเรื่องการอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมขาติ ไม่ได้ซึมลึกเข้าไปในสามัญสำนึกของชาวบ้านที่เป็นสมาชิกของหมู่บ้านสวนป่าแห่งนี้เท่าไรนัก หลวงพ่อเล่าว่า เท่าที่รู้ชาวบ้านมีกรรมวิธีทำให้ต้นไม้ที่ตนเองรับผิดชอบปลูกขึ้นบนเนื้อที่ของตนโตช้า หรือไม่โตเอาเลยทั้งนี้เพื่อไม่ให้ต้นไม้มารบกวนพืชไร่ที่รัฐบาลให้ปลูกคู่กันไปรอให้ไม้หลักโต ในขณะที่พันธุ์ไม้ที่ใช้ปลูกป่าก็เป็นไม้โตเร็ว ว่าให้ชัดที่สุดก็คือ ปลูกเพื่อใช้ตัดขายมากกว่าความตั้งใจจะฟื้นฟูธรรมขาติอย่างจริงจัง คงไม่เกินเลยนักที่จะพูดอย่างเต็มที่ว่ามีเพียงวัดและหลวงพ่อเท่านั้น ที่พยายามรักษาธรรมชาติเพื่อธรรมชาติ เพื่อความสมดุลแห่งระบบนิเวศวิทยา เพื่ออนาคตของอนุชนและเพื่อการดำรงอยู่แห่งธรรม วัดป่าสุคะโตคงจะเป็นจุดเล็กๆ จุดเดียวบนแผนที่แห่งผืนดินบนหลังเขาอันกว้างใหญ่ ที่พยายามสร้างสมดุลใหม่ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติภายนอก และสมดุลภายในจิตใจของมนุษย์เอง แต่นี่ก็เป็นความหวัง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูธรรมและธรรมชาติ ควบคู่กันไป